Srania Lawyia
จำนวนข้อความ : 155
ค่าสถานะ พลังชีวิต: (100/100)
| เรื่อง: S. ปริศนาความทรงจำ by srania_lawyia Sat Jul 05, 2014 10:07 pm | |
| ยินดีต้อนรับสู่บ้านแห่งความฝัน
...ผีเสื้อต้องสาป ที่เป็นดังภาพลวงตา กลับทำให้ฝูงหมาป่าตัวร้ายลุ่มหลง ก่อนจะหายตัวไป ทิ้งไว้เพียงความบ้าคลั่งของอสุรกายตัวร้าย.... นิยายเรื่องแรกที่เธอแต่งหายไปในวันที่เธอช่วยเขาไว้ โชคดีที่เก็บสำรองเอาไว้ สมุดที่ใช้เขียนนั้นใกล้จะจบแล้วเสียดายอยู้เหมือนกันแต่ก็รีบแต่งให้จบแล้วเอาไปเสนอสำนักพิมพ์ เรื่องของเธอผ่านและจะได้ตีพิมพ์ แต่แล้ววันที่มันออกวางแผงกลับมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น เกิดอะไรขึ้นทำไหมมันถึงเป็นแบบนี้ กลุ่มคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกลับทำให้ความทรงจำที่ขาดหายของเธอเริ่มชัดเจน ความดีใจที่ได้สัมผัสในคราวแรกกลับต้องเปลี่ยนเป็นความเสียใจ ความทรงจำที่อยากได้คืนนักหนา ทำไมต้องเป็นแบบนี้ หากเช่นนี่แล้วสู้ลืมมันต่อไปไม่ดีกว่าหรือ ทว่า..เบื้องหลังเรื่องราวของความทรงจำ ความมืดอันเลือนลางที่ยังเหลืออยู่จะผลิกผันชะตาของเธออย่างไรกัน ห้องนักเขียน | |
|
Srania Lawyia
จำนวนข้อความ : 155
ค่าสถานะ พลังชีวิต: (100/100)
| เรื่อง: บทนำ Sat Jul 05, 2014 10:11 pm | |
| บทนำ ...หญิงสาวร่างบางราวผีเสื้อตัวน้อยที่มักจะปรากฎตัวกลางป่าใหญ่ในยามราตรี เธอเป็นใครกัน ? เจ้าของนัยน์ตาหวานปนเศร้าที่สามารถตรึงหัวใจของไพร์ชา ราชันแห่งมนุษย์หมาป่าคนนี้เอาไว้ได้ ทั้งที่พบหน้ากันมาหลายครา พูดคุยรึก็หลายครั้ง แต่เหตุเจ้าจึงไม่ยอมอยู่ที่นี้กับข้า ใยต้องทำให้ข้าคลุ้มคลั่งกับการจากไปพร้อมฝูงผีเสื้อมากมายยามเมื่อรุ่งอรุณมาเยือนด้วย ? แต่..ความคลุ้มคลั่งใดคงจะไม่เทียบเท่าการจากไปของเจ้าในครานี้ ทั้งที่ข้ายอมทุกสิ่งแล้วเหตุใดจึงทำร้ายกันด้วยการจากลาชั่วนิรันดร์พร้อมกับบาดแผลแห่งความอัปยศ หากความรักที่ข้ามีต่อเจ้ามันไม่เคยอยู่ในสายตา ข้าจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความแค้นเพื่อให้มันฝังรากลึกลงไปในใจของเจ้า ข้าขอสัญญาตราบสิ้นลมหายใจข้าจะตามล่าหาตัวเจ้าให้เจอจงได้ อารีน... ข้อความแนะนำเรื่องย่อของนวนิยายขายดีเรื่อง ผีเสื้อลวงตา ปรากฏเด่นราอยู่บนแผ่นป้ายขนาดใหญ่ที่ถูกตั้งไว้บริเวณทางเข้าร้านหนังสือแห่งหนึ่ง เด็กสาวร่างบางผมสีรัตติกาลมัดหางม้าในส่วนสูง 168 เซนติเมตร อายุประมาณ 16 – 17 ปี ยืนอ่านข้อความนั้นอยู่หน้าร้าน เมื่ออ่านจบดวงหน้าหวานก็ถอนสายตาสีนิลออกมาแล้วพาขาเรียวสวยกับรองเท้าสีดำก้าวเข้าไปในร้านหนังสือแห่งนั้น ร่างบางในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกันกางเกงยีนสามส่วนก้าวไปหยุดตรงตำแหน่งที่มีการวางนวนิยายผีเสื้อลวงตาไว้ สี่ห้าเล่มจัดเรียงอย่างสวยงาม มือเรียวหยิบมันขึ้นมาเล่มหนึ่ง ภาพหน้าปกที่เป็นรูปหมาป่ากับผีเสื้อที่จัดวางอย่างสวยงาม บนหัวปกมีอักษรสีทองที่ตวัดเป็นลายแปลกตาแต่อ่านได้ว่า ผีเสื้อลวงตา พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเอาหนังสือไปชำระเงินที่เคาเตอร์ก่อนเดินออกจากร้านแห่งนั้นไป หลังจากออกมาจากร้านนั้นแล้วเด็กสาวก็รีบกลับบ้านของตัวเอง ตรงขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง ประตูถูกเปิดออกอย่างเร่งรีบทว่าไร้ซึ่งเสียง ร่างบางเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือข้างหน้าที่มีกล่องขนาดกลางวางอยู่บนโต๊ะ เธอวางถุงหนังสือที่เพิ่งซื้อมาไว้ข้างโต๊ะ แล้วหยิบกระดาษเปล่าออกมาจากแฟ้ม เพื่อเขียนจดหมายบางอย่างลงไป สักพักก็พับมันใส่ซองจดหมายแล้วหย่อนลงไปในกล่องบนโต๊ะที่มีกระดาษสีม่วงใสไว้ก่อนแล้ว มือบางเอื้อมไปหยิบหนังสือออกมาจากถุง เปิดหน้าแรก หยิบปากกาขึ้นจรดบนกระดาษ เธอมีท่าทางลังเลเล็กน้อย ก่อนเซ็นลายเซ็นลงไปแล้วรีบเอาหนังสือใส่กล่องปิดฝาแล้วห่อเป็นกล่องของขวัญ เธอเดินเอามันไปวางไว้บนเตียงก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ หัวเตียงแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกองหนังสือบนหัวเตียง ภาพหน้าปกที่แสนคุ้นตา หมาป่ากับผีเสื้อ และอักษรสีทองแปลกตาที่สะกดออกมาได้ว่า …ผีเสื้อลวงตา… เธอวางมันลงแล้วหันไปอุ้มกล่องของขวัญที่วางไว้เดินออกไปจากห้อง ผ่านห้องต่างๆ แล้วมุ่งสู่นอกบ้านไปรอรถประจำทางที่ปากซอย ไม่นานนักรถเมล์ก็มา เด็กสาวเดินขึ้นไปแล้วหาที่นั่งก่อนบอกจุดหมายปลายทางพร้อมชำระค่าโดยสาร ประมาณ 1 ชั่วโมงเธอก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ร่างบางก้าวลงจากรถก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอาคารสีขาวเบื้องหน้า ตึกทรงสมัยใหม่ที่มีความสูงถึงเจ็ดชั้นพิขารณาสภาพอาคารตรงหน้าไม่นานก็เดินเข้าไปในอาคาร ตรงไปยังแผนกประชาสัมพันธ์ แต่ก็มีอุปสรรคจากกลุ่มคนที่เป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่มายืนขวางทางเข้าอาคารทำให้เด็กสาวไม่สามารถเข้าไปยังตำแหน่งประชาสัมพันธ์ได้ แต่แล้วสายตาก็มองเห็นร่างสูงของกลุ่มเด็กหนุ่มสิบสองคนที่กำลังเดินออกมาจากประตู นั้นทำให้เธอตัดสินใจยืนรออยู่กับที่ไม่ช้าพวกเขาก็เดินเข้ามาใกล้ เด็กสาวรู้ว่าทางนี้คือทางไปยังรถของพวกเขา ตอนแรกคิกว่าจะเอาของไปฝากให้ทางประชาสัมพันธ์แต่เมื่อเห็นตัวเลยคิดจะให้ด้วยตัวเอง แต่ระยะสิบเมตรสุดท้ายเธอกับเกิดอาการกลัวทั้งยิ่งมองหน้าพวกเขา อาการปวดหัวก็ยิ่งรุนแรงทั้งทีมันหายไปนานแล้ว ภาพเก่าที่เคยเห็นฉายชัดขึ้นในหัว จนร่างกายเซเล็กน้อย เธอเห็นว่าท่าจะไม่ดี เลยหันไปฝากของให้เด็กสาวที่อยู่ข้างๆ “ฝากเอาให้พวกเขาหน่อย บอกพวกเขาว่า ถึงคนไข้กลางสายฝนจากคุณหมอจำเป็น” พูดจบเธอก็รีบเดินออกมาจากตรงนั้นเมื่อลับร่างของพวกเขาอาการปวดหัวดูจะทุเลาลงบางแต่ก็ไม่หายไปสุดท้ายเลยต้องลากตัวเองกลับบ้านให้เร็วที่สุด ถึงบ้านเธอไม่รอช้ารีบคว้ากระปุกยาที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกมากินนทันที ยาสามเม็ดที่เธอกินเข้าไปไหลลงสู่กระเพาะไม่ช้ามันก็ออกฤทธิ์ อาการง่วงนอนเข้าครอบคลุมเด็กสาวจึงเดินขึ้นห้องนอนแล้วล้มลงนอนบนเตียงข้างๆ หนังสือรูปหมาป่าและผีเสื้อ นัยน์ตาสีนิลที่ปรือมองหนังสือค่อยๆ หลุบลงพร้อมห้วงคำอธิฐานที่ขอให้นำช่วงขาดหายของเธอกลับมา…. | |
|
Srania Lawyia
จำนวนข้อความ : 155
ค่าสถานะ พลังชีวิต: (100/100)
| เรื่อง: บทที่หนึ่ง กลางสายฝน Sat Jul 05, 2014 10:20 pm | |
| บทที่หนึ่ง กลางสายฝน “พวกเรากลับก่อนน่ะ” เสียงตะโกนดังมาจากกลุ่มเด็กวัยรุ่นอายุประมาณ 16-17 ปีห้าหกคนที่กำลังโบกไม้โบกมืออยู่ตรงบันไดทางลงอาคารส่งมาให้เด็กสาวในชุดกระโปรงยาวคลุมเข่าสีเทาเข้มแขนเสื้อยาวมาถึงข้อศอก ที่กำลังง่วงอยู่กับการติดของตกแต่งบอร์ดอยู่กับพื้นหน้าห้อง เธอเงยหน้าขึ้นจากงาน เส้นผมสีรัตติกาลที่ถูกรวบขึ้นเป็นหางม้าสูง มีปรอยผมเล็กน้อยที่ลงมาปรกดวงหน้าหวานอมชมพู ดวงตากลมโตสีนิลที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นตาชำเลืองมองนาฬิกาสีดำที่ข้อมือ เข็มสั้นเกือบจะแตะเลขห้าอยู่แล้ว ริมฝีปากบางจึงขยับตอบโต้ “จ้า! เดี๋ยวฉันจัดการบอร์ดนี้แป็บหนึ่ง เดี๋ยวจะรีบกลับ” เธอว่าพลางยิ้มส่งให้เพื่อนๆ “อย่าโหมงานให้หนักเกินไปล่ะ! ถึงเธอรักษาคนเก่งแค่ไหนแต่ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็รักษาเขาไม่ได้หรอกน่ะ” เพื่อนสาวร่างเล็กในชุดเสื้อยืดแขนยาวลายขวางสีชมพูสลับขาว กับกางเกงยีนขายาวตะโกนกลับอย่างห่วงใย “อย่ากลับบ้านดึกด้วยน่ะ” “จ้า! จ้า! ไม่ต้องห่วงฉันหรอก บ้านฉันกับโรงเรียนน่ะอยู่ไม่ไกลกันสักหน่อย” “อีแบบนี้แหละที่น่าเป็นห่วงที่สุด” เพื่อนสาวคนเก่าโต้กลับทันควัน ซึ่งเธอก็ไม่ได้ทำอะไรมากเพียงแค่หัวเราะเบาแล้วยกมือโบกให้เพื่อนๆ เห็น ไม่ช้าพวกเขาก็หายลับไปจากคลองสายตาของเธอ เด็กสาวกลับมาสนใจงานตรงหน้าอีกครั้ง บอร์ดข้อมูลของโรงเรียนที่พวกเธอจัดกัน เพื่อจะใช้ในวันปฐมนิเทศน้องใหม่ เธออาสามาช่วยเพราะบ้านเธออยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก วันนี้มีหลายคนมาช่วยเหมือนกัน คนเยอะก็มากเรื่องเธอคิดแบบนั้นเสมอและครั้งนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ฉากที่เวทีล้มลงมาอย่างรุนแรงเล่นเอาบาดเจ็บไปหลายคนเลยล่ะ โชคดีที่ครูห้องพยาบาลมาโรงเรียนพอดีเลยให้ยืมกล่องปฐมพยาบาลรักษาแบบง่ายๆไปให้ก่อน แต่พอจะเอาไปคืนครูดันปิดห้องแล้วกลับไปก่อนเพื่อนๆ เลยลงความเห็นว่าให้เก็บไว้ที่บ้านไปก่อนเปิดเทอมค่อยเอาไปคืน เริ่มเย็นพวกเขาก็ทยอยกันกลับบ้าน เธอกับกลุ่มเพื่อนของเธอห้าหกคนที่กลับไปก่อนหน้านั้นเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ ทำให้ตอนนี้เหลือเธออยู่คนเดียวในโรงเรียน เธอคิดว่าจะทำจนถึงห้าโมงครึ่งแล้วค่อยกลับบ้านเพราะเธอใช้เวลาแค่สิบห้านาทีก็ถึงแล้ว เธอตั้งใจจะทำงานนี้ให้ถึงที่สุด ไม่ช้าเด็กสาวก็จมสู่ภวังค์ของงานเบื้องหน้า เปาะ! แปะ! เปาะ! แปะ! ซ่าาาาาาา “เฮ้ย!” เด้กสาวอุทานขึ้นมาเบาๆ เพราะฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างกระทันหันสาดเข้ามาทางระเบียงที่เธอนั่งอยู่พอดี ทำให้เธอต้องรีบกวาดของทุกอย่างเข้าไปในห้องที่อยู่ใกล้ๆ “เฮ้อ! ดีน่ะเนี่ยที่เก็บทัน” เด็กสาวบ่นเบาๆ พลางปาดน้ำฝนที่กระเซ็นมาถูกตัวเธอ รอบกายในเวลานี้มีเพียงแสงสลัวๆ จากข้างนอกเท่านั้นทำให้เด็กสาวตัดสินใจหยิบไฟฉายกระบอกเล็กในกระเป๋ากระโปรงที่พกติดตัวออกมาเปิดเพื่อจะได้มองหาสวิตซ์ไฟ ลำแสงขนาดหกองศากราดไปทั่วห้องแล้วก็ไปหยุดอยู่ตรงกำแพงข้างกระดานหน้าห้องที่มีสวิตซ์ไฟปรากฏอยู่ เด็กสาวก้าวเท้าขยับเข้าไปหาจุดดังกล่าวอย่างระมัดระวังเพราะพื้นห้องในตอนนี้เต็มไปด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่เธอใช้จัดบอร์ดเต็มไปหมด ทั้งกาว สก็อเทปกระดาษ คัตเตอร์และกรรไกร ถ้าเดินไม่ระวังคงไม่แคล้วได้แผลแน่ มือขาวบางเอื้อมไปเปิดสวิตซ์ไฟ สักพักหลอดฟลูออเรนที่อยู่บนศีรษะก็สว่างขึ้นทำให้เธอมองเห็นบริเวณโดยรอบ จึงปิดไฟฉายแล้วส่งมันกลับไปนอนที่ก้นกระเป๋ากระโปรงตามเดิม แล้วพิจารณาห้องที่เธอคิดจะยึดมาเป็นห้องทำงานชั่วคราว เพดานห้องเต็มไปด้วยหยากไยแถมพื้นบางส่วนกับโต๊ะที่กองสุมอยู่หลังห้องยีงมีฝุ่นหนาเตอะ เด็กสาวจึงเหลียวกลับไปมองตำแหน่งที่เธอกองของเอาไว้ โชคดีที่บริเวณนั้นไม่ค่อยมีฝุ่นมากเท่าไร เธอเดินกลับไปที่กองของแล้วสำรวจปริมาณงานที่เหลืออยู่ มีเพียงเก็บลายละเอียดอีกเล็กน้อยเท่านั้นก็สามารถเก็บงานได้ เธอจึงมองนาฬิกาที่ข้อมืออีกครั้ง เข็มสั้นเลยเลขห้ามาโขแล้วแต่ถ้าจะให้กลับบ้านในเวลานี้ก็คงเปียกซกเป็นลูกหมาแน่ ก็ฝนข้างนอกเล่นตกลงมาไม่ลืมหูลืมตาเลย คิดพลางทรุดตัวลงนั่งที่หน้ากองงานแล้วพึมพำกับตนเองเบา “ทำต่อดีกว่า รอให้ฝนหยุดก็คงเสร็จพอดี” เวลาที่ผ่านพ้นไปเด็กสาวก็จัดการกับงานตรงหน้าเสร็จเรียบร้อย รวมทั้งการเก็บกวาดเศษขยะและเก็บผลงานทั้งหมด สัมภาระใบน้อยในรูปกระเป๋าเป้สีดำถูกจัดเตรียมไว้ข้างๆ มีกล่องปฐมพยาบาลสีเขียววางเคียงข้างให้พร้อมสำหรับการเดินทางกลับบ้านได้ทันที แต่ทว่า…เมื่อเด็กสาวมองออกไปนอกห้องก็เห็นว่าฝนยังคงไม่หยุดตก ทั้งยังมีแววว่าจะตกหนักไปถึงเช้า นัยน์ตาสีนิลก้มมองนาฬิกาข้อมือซึ่งบัดนี้เกือบเข็มสั้นเกือบจะชี้เลขเจ็ดอยู่แล้ว ก็ถอนหายใจพลางมองหาสิ่งที่ช่วยป้องกันน้ำฝนให้เธอได้เพราะวันนี้เธอไม่ได้หยิบมาจากบ้าน ใครจะไปล่วงรู้จิตใจฟ้าดินได้กัน ยิ่งช่วงนี้เป็นฤดูมรสุมที่ลมฟ้าแปรปวนหนักด้วยยิ่งแล้วใหญ่ พลันสายตาก็สบเข้ากับร่มเก่าๆ ที่วางสุมอยู่กับกระดาษบนโต๊ะหลังห้อง เธอเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดู ร่มสีม่วงอ่อนแบบทั่วไป ด้ามจับมีสนิมขึ้นเกรอะ แต่ผ้าใบยังคงสภาพดีอยู่และเวลากางก็ช่วยกันฝนได้พอสมควร “คงพอใช้กลับบ้านได้อยู่แหละ” เธอพึมพำแล้วหันกลับเดินไปยังกระเป๋าเป้ วางร่มในมือลงกับพื้นก่อนจะคว้าเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลตัวเก่งของเธอมาสวมมันเป็นเสื้อแบบที่สามารถใส่ได้ทั้งสองด้านอีกด้านของมันเป็นสีครีมออกไปทางสีเนื้อหน่อย ฝั่งสีน้ำตาลด้านหลังเสื้อมีลายกราฟฟิคที่เธอกับเพื่อนๆ ช่วยกันออกแบบปักเอาไว้ ส่วนฝั่งหน้าอกด้านซ้ายก็มีรูปสมองสีชมพูปักล้อมด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นชื่อโรงเรียนของพวกเธอ ด้านสีครีมเป็นสีล้วนที่ไร้ลวดลายต่างๆ เธอชอบเสื้อผืนนี้พอควรเพราะมันเป็นความทรงจำของเธอ หลังจากจัดการใส่เสื้อแขนยาวเรียบร้อยก็ยกกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลังและถือกล่องปฐมพยาบาล ก่อนหยิบร่มขึ้นกระชับมือแล้วเดินไปหาสวิตซ์ไฟหลังห้องก่อนกดปิดมัน ทำให้รอบกายมิดสนิท แล้วเธอก็คล้ำทางออกไปยังประตูหน้าห้องที่เปิดทิ้งไว้พอให้แสงสลัวจากภายนอกส่งเข้ามา เธอสวมรองเท้าหุ้มส้นสีดำที่ถอนไว้หน้าห้องทำงานชั่วคราวของเธอก่อนจักการปิดประตูห้องให้เรียบร้อย แล้วเดินต่อไปโดยอาศัยเพียงแสงสลัวจากหลอดไฟที่เปิดอยู่ห่างออกไปไกลพอดู เธอก้าวไปจนถึงทางลงอาคารที่เป็นเขตสิ้นสุดพื้นที่หลังคาของอาคารหลังนี้ แล้วหยุดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อถอนแว่นตามาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแขนยาวก่อนกางร่มออกเพื่อก้าวไปเผชิญหน้ากับสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมา ถึงเธอจะบอกเพื่อนไปว่าใช้เวลาเดินกลับบ้านเพียงแค่สิบห้านาที แต่ว่าไอ้สิบห้านาทีตอนช่วงหนึ่งทุ่มกว่าแถวบ้านเธอน่ะมันทำเอาคนประสาทหลอนได้เหมือนกัน ก็ตรงทางโค้งก่อนถึงบ้านเธอดันมี คฤหาสค์ร้างตั้งอยู่ แล้วดันกินพื้นที่ซะกว้างทำเอาบริเวณโดยรอบวังเวงซะไม่มี ถึงเธอจะเป็นคนไม่กลัวผีแต่สภาพพื้นที่แบบนี้ก็เสี่ยงต่อการถูกโจรดักหรือสัตว์มีพิษทำร้ายได้เหมือนกัน เด็กสาวเดินมาจนถึงประตูรั้วคฤหาสค์ที่สามารถมองผ่านเข้าไปเห็นตัวคฤหาสค์ได้ชัดเจนในตอนกลางวัน แต่สำหรับสภาพอากาศที่พายุฝนกำลังเล่นงานอยู่นี้ทำให้เห็นตัวคฤหาสค์เป็นเพียงเงาทะมึนภายใต้เมฆฝนหนาสีเทา พลันนัยน์ตาคู่หวานก็เหลือบไปเห็นรถตู้ขนาดเล็กสีดำจอดอยู่บนถนนข้างกำแพงคฤหาสค์สร้างความประหลาดใจให้แก่เธอมากเพราะนานแล้วตั้งแต่เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่นี้ ไม่เคยมีรถหรือมีใครย่างกรายเข้ามาในบริเวณนี้เลยสักครั้งเดียว แล้วครั้งนี้กลับปรากฏรถขึ้นมาให้เห็นเธอเลยแปลกใจค่อนข้างมาก ความอยากรู้อยากเห็นก่อตัวขึ้นภายใต้จิตใจที่พยายามต่อต้านกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ไม่ควรจะไปบุกรุกเคหสถานผู้อื่นแม้ว่าจะเป็นเคหสถานร้างๆ ก็เถอะ เธอที่กำลังชั่งใจอยู่นั่นผลัดร่มไปถือไว้ข้างเดียวกับกล่องปฐมพยาบาล ส่วนมืออีกข้างก็ลวงลงไปในกระเป๋ากระโปรงหวังจะเอาไฟฉายอันเก่งออกมาส่องดูลาดราว ทว่า… เปรี้ยงงงง!!!!!!!!!!!!! อสุนีบาตฟาดลงจากฟากฟ้าทำให้เธอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ตัวเธอนั่นไม่ได้กลัวฟ้าร้องฟ้าผ่าแต่สิ่งที่ทำให้เธอนิ่งงังไปนั่นคือภาพที่เห็นเพียงชั่วขณะจากแสงสว่างเพียงชั่วครู่ของสายฟ้าที่ฟาดลงมา ร่างๆ หนึ่งยืนตระหง่านอยู่หลังรั้วคฤหาสค์ไปประมาณยี่สิบเมตรเห็นจะได้ เธอเห็นหน้าไม่ค่อยชัดเท่าไรแต่ดูจากทรงผมและสภาพการแต่งกายทำให้เดาว่าน่าจะเป็นผู้ชาย มือบางกระชับด้ามร่มแน่นขึ้นเรียกความมั่นใจที่เตลิดหนีไปจากภาพที่เห็นให้กลับมา มืออีกข้างกระชับไฟฉายไว้แน่นราว สมองประมวลผลอย่างติดขัดราวกับไม่รับรู้ว่าควรทำอย่างไรในเวลาแบบนี่้ แต่… เปรี้ยงงงง!!!!!!!!!!!!!!! สายฟ้าฟาดลงมาอีกครั้งก่อให้เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาอีก นานพอที่เด็กสาวจะมองเห็นได้ว่าร่างนั้นล้มลงกับพื้นทันที อารามตกใจบวกกับสัณชาตญาณความเป็นหมอเบาๆ ของเธอ มือปล่อยไฟฉายในกระโปรง รีบปรี่เข้าหาร่างนั้นทันที มือขาวบางผลักประตูรั้วที่แงมอยู่เล็กน้อยให้เปิดออกกว้างรุดไปคุกเข่าอยู่ข้างร่างนั้นแล้วเขย่าร่างนั้นเบาๆ “นี่ๆ คุณเป็นอะไรมากรึเปล่า ได้ยินฉันไหม” เด็กสาวเรียกอย่างร้อนรนเมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบสนอง เธอจึงทิ้งร่มกับกล่องในมือก่อนเข้าพยุงร่างอันหนักอึ้งของคนตรงหน้าขึ้นแล้วพาไปยังศาลาในสวนที่เธอสังเกตุเห็นเพื่อหลบฝนโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นเลนล์สีดำใสสองชิ้นที่ร่วงหล่นลงไปกองอยู่กับพื้นหญ้าที่กลายเป็นแอ่งน้ำอย่างรวดเร็ว แล้วจัดให้เขานั่งบนเก้าอี้มีพนักพงตัวหนึ่งแล้วรีบวิ่งกลับไปเอาร่มกับกล่องที่ทิ้งไว้มาที่ศาลา กางร่มกับพื้นเพื่อผึ่งให้แห้งส่วนกล่องปฐมพยาบาลก็วางไว้บนโต๊ะใกล้ที่พอจะสังเกตเห็น ก่อนล้วงเอาไฟฉายในกระเป๋ากระโปรงมาเปิดเพื่อจะได้เพื่อประสิทธิภาพในการมองเห็น จะได้ช่วยเหลือได้ถูกต้อง นั่นทำให้เธอมองเห็นหน้าของคนที่ช่วยไว้ได้ชัดเจนมองขึ้น ริมฝีปากสีซีดกับจมูกที่โด่งเล็กน้อย เส้นผมสีน้ำตาลออกแดงนิดๆ ที่ถูกซอยระต้นคอ มีผมลงมาปรกหน้าผากที่มีคราบเลือดไหลย้อยลงมาเป็นทาง ล้อมกรอบใบหน้าคมติดหวานนิดๆ ที่บัดนี้ซีดขาว เพราะบาดแผลมากมายตามร่างกายของเขาที่มีเลือดซึมออกมาย้อมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในให้กลายเป็นสีแดงฉาดทั้งยังซึมมาถึงเสื้อแขนยาวตัวนอกสีกรมที่ขาดแหว่งไปมาก แต่จุดที่น่าเป็นห่วงที่สุดเห็นจะเป็นช่วงต้นแขนข้างซ้ายที่เธอเห็นรอยเสื้อเป็นรูทั้งยังเห็นรอยคล้ำๆเป็นวงกว้าง เธอคาบไฟฉายเอาไว้ในปากแล้วเอื้อมมือไปถอดเสื้อแขนยาวตัวนอกที่เปียกซกออกมาพาดไว้กับโต๊ะเหล็กดัดทรงกลมที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ตัวเธอ บาดที่เห็นยิ่งชัดเจนมากขึ้น เสื้อสีขาวที่เปื้อนเลือดสีแดงเป็นหย่อมๆ แต่มีจำนวนมากมาย ทำให้เธอรีบถอดกระเป๋าเป้ที่เริ่มชื้นของเธอลงจากหลังมาวางไว้บนโต๊ะและเปิดกล่องปฐมพยาบาลออก ก่อนถอดเสื้อตัวนอกของตนเองวางไว้ข้างๆ กระเป๋าเป้เพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน มือบางค้นหาแอกอฮอล์กับสำลีออกมาวางข้างกล่อง เพื่อล้างบาดแผลเล็กๆ ก่อนหันไปหาตัวคนเจ็บ เธอปลกมือขึ้นไหว้เล็กน้อยเป็นเชิงของโทษ ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อของเขาออกแล้วเปิดเสื้อไปกว้างขึ้น บาดแผลที่มองจากภายดูสาหัสมากแต่ภายในมีแผลไม่ลึกมากแต่มีจำนวนเยอะเกินไปเลือดที่ซึมออกมาเลยมีมาก ส่วนใหญ่เลือดเริ่มหยุดไปแล้วแต่แผลสีต้นแขนข้างซ้ายที่ถูกเจาะเป็นรูยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดแม้จะถูกน้ำฝนชะไปบ้างแล้ว เธอหันกลับไปค้นกระเป๋าเป้อีกครั้งแต่ของที่ค้นคราวนี้คงจะเป็นของชิ้นเล็กเพราะเธอหยิบสมุดหนังสือที่ขวางทางออกมาวางสุมๆ ไว้ข้างนอกอย่างรีบร้อนก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาพร้อมกับหยิบขวดน้ำเปล่าที่เหลืออยู่เกือบเต็มขวดข้างกระเป๋าออกมา เธอเปิดฝาขวดแล้วเทน้ำลงบนผ้าจนชุ่มก่อนบิดพอหมาดแล้วหันไปซับเลือดที่ต้นแขนคนเจ็บที่นั่งสลบอยู่ ผืนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ที่สัมผัสกับคาวเลือดสีแดงฉาดจนซึมมาย้อมให้มันกลายเป็นสีเดียวกัน เด็กสาวซับจนเลือดจางไปมองจนสามารถเห็นตัวบาดแผลได้ชัดเจนมากขึ้นจึงวางผ้าเช็ดหน้าลงแล้วหยิบสำลีกับแอลกอฮอล์ขึ้นมาแทน ของเหลวสีฟ้าใสจากขวดแก้วถูเทใส่สำลีสีขาว มือบางเอาสำลีนั้นแตะๆ รอบปากแผลจนทั่วเมื่อแน่ใจว่าบาดแผลสะอาดแล้วก็หยิบผ้าก็อตในกล่องม้วนใหญ่ออกมาก่อนเริ่มพันมันไปรอบๆ ต้นแขน เมื่อได้ความหนาพอเหมาะแล้วเธอก็เอื้อมไปหยิบกรรไกรที่กองสุมอยู่กับสมุดหนังสือมาตัดผ้าที่เหลือแล้วฉีกสก็อตเทปมาติดปลายผ้าพันแผลไว้ไม่ให้มันหลุด มือบางปาดเหงื่อที่เริ่มซึมเพราะความหวาดกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บมากกว่าเดิมหรือเปล่า แต่นี่ก็ถือว่าเขาโชคดีมากแล้วที่หัวกระสุนทะลุออกไปไม่อย่างนั้นเธอคงช่วยอะไรได้ไม่มาก นัยน์ตาสีนิลหันไปมองบาดแผลตามลำตัวที่มีเลือดซึมอยู่ บาดแผลที่ดูน่าสงสัย รอยคล้ายถูกบางอย่างฟันอย่างหยอกล้อ รอยที่เพียงแค่เห็นก็มองออกว่าตั้งใจให้ได้รับความเจ็บปวดแต่ไม่กะให้ตาย อะไรกันที่ทำให้เกิดบาดแผลมากมายเหล่านี้ เธอรีบส่ายหัวไล่ความสงสัยเหล่านี้ออกไปแล้วทำแผลที่เหลืออยู่ มันไม่น่าห่วงเท่าไรเพราะเป็นเพียงบาดแผลตื่นๆ ที่แค่เช็ดคราบเลือดแล้วทำความสะอาดแผลด้วยแอกอฮอล์ก็พอแล้ว เธอจัดการปิดแผลด้วยผ้าก็อตที่เหลือตั้งแต่คอจรดเอว มันมีผ้าก็อตเหลือพอจะพันที่หัวเขาได้จึงทำความสะอาดแผลแล้วจัดการให้เสร็จสิ้น หลังจากเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลใส่กล่องหมดแล้ว เด็กสาวเอาไฟฉายออกจากปากมาถือด้วยมือตามเดิมแล้วหันไปมองคนเจ็บบนเก้าอี้ที่บัดนี้มีผ้าพันตั้งแต่คอไปจนถึงเอว ทั้งบนหัวก็มีผ้าก็อกพันอยู่ที่แก้มขวาก็มีปลาสเตอร์สีเนื้อปะไว้ เธอขยับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตอนนี้ไม่ขาวแล้วของเขามาปิดไว้เหมือนเดิม ก่อนจะหันไปหยิบเสื้อแขนยาวของเขาที่วางไว้บนโต๊ะมาเพื่อจะคลุมตัวเขาไว้ แต่เมื่อจับดูก็สัมผัสได้ถึงความเปียกจนชุ่มที่น้ำฝนทำไว้ ทำให้เธอตัดสินวางมันไว้อย่างเดิมแล้วหยิบเสื้อแขนยาวของเธอมาจับดูด้านนอกเปียกไม่มากแต่ด้านในยังแห้งอยู่เธอจึงเอาเสื้อผืนนั้นคลุมร่างเขาไว้ให้ได้รับความอบอุ่นอย่างเพียงพอ เด็กสาวยิ้มน้อยแล้วเหลือบมองนาฬิกา เข็มสั้นเกือบแตะเลขแปด ถือว่าทำเวลาได้ไม่เลวเท่าไรสำหรับการรักษาในครั้งนี้ แต่แล้วเธอก็ตระหนักได้ “ตายล่ะหวา จะสองทุ่มแล้วยังไม่ได้เข้าบ้านเลย แม่ด่าแน่ๆเลย” เธอรีบกวาดของที่วางสุ่มไว้ลงกระเป๋าอย่างรวดเร็วที่สุด ปิดไฟฉายยัดใส่กระเป๋ากระโปรงแล้วหยิบร่มมากระชับมือ ก่อนวิ่งออกจากศาลาในสวนที่มืดมิด แต่พอไปถึงประตูรั้วก็คิดขึ้นได้ว่าคนที่ตนช่วยไว้ยังสลบอยู่ที่ศาลาแต่จะพากลับด้วยก็คงไม่ได้ตัวหนักขนาดนั้นแบกไปศาลาได้ก็อัศจรรย์แล้ว จึงตะโกนไปด้วยความหวังดีโดยไม่ได้คาดหวังอะไรมาก “รีบๆ ตื่นล่ะ! นอนนานๆ กลางลมกลางฝนเดี๋ยวจะมีโรคมาทักทายไม่รู้ด้วย” ว่าจบก็วิ่งต่อโดยไม่หันกลับมาดูอีกเลยจึงไม่ทันได้ยินคำพูดที่ลอยมาพร้อมกับอัสนีบาตที่ฟาดลงมาอีกครั้ง “ขอบคุณ หวังว่าผมจะได้ขอบคุณเธอต่อหน้านะ” | |
|
Srania Lawyia
จำนวนข้อความ : 155
ค่าสถานะ พลังชีวิต: (100/100)
| เรื่อง: Re: S. ปริศนาความทรงจำ by srania_lawyia Sat Jul 19, 2014 4:08 pm | |
| บทที่สอง(50%) เปิดเรียน “เอสสสสสส! ตื่นยังงงง!” เสียงตะโกนโวกเวกโวยวายดังขึ้นหน้าประตูบ้าน เรียกให้เด็กสาวผมดำสนิทที่ยาวถึงสะโพก ซึ่งล้อมกรอบดวงหน้าหวานและประดับไว้ด้วย นัยน์ตาสีดำที่ดูใสแปลกๆ ที่กำลังง่วงอยู่กับการทำอาหารเช้าอยู่ต้องชะงักและพาร่างบางในชุดนอนที่สูงกว่าร้อยหกสิบเกือบเจ็ดสิบเดินไปชะโงกดูหน้าต่างของห้องครัวที่เปิดไว้ แล้วก็อย่างที่คิด เด็กสาวผมดำหางม้าต่ำไว้ผมหน้าม้าแบบแฟชั่นหน่อยๆ กับดวงตากลมโตสีดำคลับที่ประดับอยู่บนรูปหน้าเรียว จมูกนิดปากหน่อย เพื่อนสนิทตัวดีของเธอเองในชุดนักเรียนรัฐบาล ม.ปลาย สะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ ยืนอยู่หน้าบ้าน แต่ไม่ทันที่เธอจะได้ตะโกนตอบอะไร เพื่อนตัวดีก็ไขประตูรั้วด้วยกุญแจสำรองที่แม่ของเธอเป็นคนเอาให้เพื่อนคนนี้เองกับมือ เด็กสาวได้แต่ถอนหายใจและกลับไปทำอาหารของตนตามเดิม ไม่ช้าร่างสูงร้อยหกสิบสามเซนของเพื่อนสาวก็เข้ามาในห้องครัวของเธอ “ไง ทำอะไรกินเอ่ย” น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยทักขณะที่เดินเอากระเป๋าไปวางไว้ที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวขนาดกลางที่มีหกที่นั่งซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่างที่เธอเพิ่งมองออกไปเมื่อสักครู่ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เด็กสาวนามเอสเหลือบมองเพื่อนสนิทนิดหน่อยก่อนกลับมามองกระทะตรงหน้าที่กำลังผัดอยู่ “ผัดกระหล่ำปลีใส่วุ่นน่ะ” ริมฝีปากบางตอบเบาๆ พลางขยับตะหลิวในมือขวาฟื้นตัวผักที่อบเอาไว้ขึ้นมาแล้วดันส่วนที่อยู่ข้างบนลงไปแทน กลิ่นของของเครื่องปรุงลอยตลบอบอวนไปทั่วห้อง เรียกให้เพื่อนสาวผมหน้าม้าต้องลุกจากเก้าอี้เดินมาดูใกล้ “อืม…หอมจัง ขนาดกินข้าวมาแล้วยยังอยากกินอีกเลย” เด็กสาวร่างเล็กสูดกลิ่นผัดกระหล่ำเบาแล้วทำท่าทางราวกับจะเขมือบกระทะเข้าไป จนเธอต้องผลักให้เพื่อนออกไปห่างๆ “ว่าแต่โอป้าล่ะกินข้าวกับไร” เด็กสาวในชุดนอนถามเพื่อนด้วยชื่อฉายา จริงแล้วเพื่อนสาวผมม้าคนนี้ไม่ได้ชื่อโอป้า แต่ชื่อว่า วิ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เธอเรียก เพื่อนอย่างนี้ก็เพราะ วิชอบทำทรงผมเหมือนคุณป้าที่มัดผมต่ำๆ เลยเรียกโอป้า โอที่แปลว่าแก่ในภาษาอังกฤษ และป้าในภาษาไทยเรานี่แหละ เลยกลายมาเป็นฉายาของโอป้าโดยปริยาย แถมมีเฉพาะเธอด้วยที่เรียกวิด้วยชื่่อนี้ “พะโล้จร้า” โอป้าตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงเช่นเดิม “กินแต่ของเดิมๆ ไม่เบื่อบ้างหรอ” เอสถามขณะเทผัดที่เสร็จแล้วลงในจานที่วางไว้ข้างเตาแก๊ส แล้วเอาากระทะไปล้าง “ก็ไม่รู้จะกินไรอ่ะ” โอป้าตอบแบบไม่ค่อยใส่ใจพลางมองจานผัดผักที่วางอยู่ข้างเตาแก๊ส ขณะที่มือก็ม้วนผมตัวเองเล่น “เปิดเทอมใหม่ก็ลองอะไรใหม่ดูสิ ว่าแต่…” เอสแขวนกระทะไว้บนราวและเดินไปเช็ดมือ ก่อนเดินไปหยิบจานและหม้อหุงข้าวมาที่โต๊ะ “ทำไมวันนี้มาเช้าจัง เพิ่งจะหกโมงห้าสิบเอง” “ก็มันตื่นเต้นนี้นา เปิดเทอมวันแรกน่ะต้องไปเร็วหน่อย” โอป้าว่าพลางช่วยตักข้าวใส่จานก่อนส่งไปวางหน้าเพื่อนสาวร่างสูง “ขอบใจ…มันก็เหมือนๆ ทุกปีน่ะไม่ใช่หรอ?” เด็กสาวเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ พลางตักข้าวทานไปด้วย “เหมือนที่ไหน วันนี้มันเป็นการขึ้น ม.ปลายของพวกเราต้องไปเช้าหน่อยสิ” วิรีบแย้งอย่างรวดเร็ว ขณะมองเพื่อนสาวทานข้าว “ฉะนั้น เธอต้องรีบกินข้าวน่ะ” “จ้าๆๆ” เอสรับคำและลงมือทานอาหารอย่างรวดเร็วโดยมีวิที่คอยโม้เรื่องต่างไๆ มากมายให้ฟัง ใช้เวลาไม่นานในการทานอาหารเช้า และจัดการเก็บกวาดเรียบร้อย เด็กสาวทั้งสองเหลือบมองเวลา 07:05 “ถือว่าเร็วใช้ได้” เด็กสาวในชุดนอนเอ่ย “งั้นฉันไปเปลี่ยนผ้าก่อนน่ะ” “เร็วๆ น่ะ” วิสำทับตามหลังเธอมา “ถ้าฉันไปโรงเรียนช้าวันนี้ โทษเอสน่ะ” วิตะโกนด้วยน้ำเสียงเล่นๆ ห้านาทีเด็กสาวร่างสูงก็เดินออกมาในชุดนักเรียนเช่นเดียวกับเพื่อนสาว มัดผมทรงหางม้าสูงผูกด้วยโบว์สีขาวขนาดหนึ่งนิ้วตามกฏของโรงเรียน พร้อมกระเป๋าเป้ใบโต “ป่ะ! ไปกันเถอะ” ตลอดการเดินไปโรงเรียนของการเปิดเทอมใหม่ครั้งนี้ก็เหมือนๆ กับปีที่ผ่านมา หัวเราะ กัดกัน หยอกกัน แกล้งกันบ้าง บนทางเดินข้างถนน สองปีแล้วที่เธอได้รู้จักกับเด็กสาวผู้ร่งเริงอย่างวิ บ้านของเธอกับวิเรียกได้ว่าไม่ไกลกันมาก ห่างกันแค่หมู่บ้านเดียว วิเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่พ่อกับแม่ยอมรับและเชื่อใจ ถึงขั้นให้กุญแจบ้านกับวิไป เธอก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีเกณฑ์การตัดสินใจยังไง แต่เธอก็ไม่ได้แย้งอะไรเพราะตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา วิพิสูจน์แล้วว่าเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอ มีงานมีเรื่องอะไรจะคอยช่วยเหลือตลอด ถึงแม้เพื่อนตัวเล็กคนนี้จะเรียนไม่เก่งแต่ก็ชอบช่วยคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ ทำให้เธอเชื่อใจเพื่อนคนนี้มาก เมื่อใกล้ถึงโรงเรียน เธอก็หยิบเอสแว่นตาออกมาจากกระเป๋ากระโปรง มาสวมไว้ “ยังไม่เลิกใส่อีกหรอ” เด็กสาวผมม้าเหลือบมามองแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ “อือ” เอสทำได้เพียงแค่ตอบรับแต่ไม่ได้พูดอะไรมากมาย สองปีที่เธอรู้จักกับวิ เธอไม่เคยบอกสาเหตุที่เธอใส่แว่นเอาไว้ และขอให้เพื่อนของเธอคนนี้ไม่บอกใครเรื่องสายตาจริงของเธอ คำถามสุดท้ายของการเดินทางไปโรงเรียนทำให้ตลอดทางที่เหลือเงียบไปทันที จนกระทั่งจะเข้าโรงเรียนวิก็หันมาหาเธอ “ว่าแต่วันนั้นกลับบ้านกี่โมง” วิเริ่มคำถามอย่างรวดเร็ว “วันนั้น? วันไหรกัน?” เอสทำหน้างงกอนจะคิดขึ้นได้ “ใช่ที่เรามาทำป้ายปฐมนิเทศน์รึเปล่า” “ใช่ๆ นั้นแหละ” “ก็…ไม่ดึกน่ะเกือบ…ทุ่มเอง…” เราตอบอย่างช้าๆ พลางนึกย้อนไปถึงวันนั้น หลังจากรีบกลับไปถึงบ้านแทบอยากจะบีบคอคุณผู้ปกครองสุดที่รักทั้งสองคนมากกกก แอบไปเที่ยวต่างประเทศแบบไม่บอกล่วงหน้ามีแต่กระดาษโน้ตติดไว้บนตู้เย็นบอกว่า …เอสจ๋าาาาาาา พ่อกับแม่จะไปฮันนีมูนกันที่ต่างประเทศสักหน่อย ดูแลตัวเองด้วยน่ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องบ้านแม่ฝากแม่บ้านมาจักการให้แล้ว แม่บ้านจะซื้อของมาใส่ในตู้เย็นทุกวันจันทร์กับพฤหัสน่ะจ๊ะ^^ ส่วนกำหนดกลับ ยังไม่มีจ๊ะ^^… ยังอุตสาห์มาใส่หน้ายิ้มระรื่นให้ด้วย ติดโน้ตยังกับจะบอกว่าไปทำธุระแป็บเดี๋ยวกลับ นี่ไปเป็นเดือน (…น้อยไปมั้ง) เลยน่ะโอย! อยากจะบ้าตาย แต่พอไปส่องกระตกเท่านั้นแหละยิ่งกว่าอยากตามอีก คอนเทกเลนน์สีดำที่ใส่ไว้หล่นหายไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เหลือแต่ตาสีแดงเข้มเอาไว้ เธอกังวลขี้นมาทันที ถ้าหากว่ามันหล่นตอนที่ช่วยคนๆ นั้น เขาจะเห็นไหม ไม่น่าจะเห็นเพราะว่าเขาสลบอยู่นี่นาหรือว่าเห็นไม่รู้ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ช่างเหอะยังไงก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ “ไม่ดึกอะไรเล่า นั้นน่ะดึกมากเลย แถมบ้านเธอยังเป็นซอบเปลี่ยวขนาดนั้น ไม่กลัวโดนฉุดรึไง” เสียงแหวของเพื่อนสาวลากเธอออกมาจากภวังค์ในทันที “ก็เดินมาตั้งห้าปีไม่เห็นเป็นไรเลย” เราเถียงกลับ “ยังจะเถียงอีก รู้จักดูแลตัวเองหน่อยสิ “ วิทำหน้ายักษ์ใส่ ก่อนหันไปกุมหัวตัวเอง “ไม่แปลกใจเลยยยย! ที่แม่เธอจะห่วงนักห่วงหนาขนาดต้องให้ฉันมาดูแลแทนขณะไปเที่ยว” “อ๊ะ! นี้รู้ได้ไงว่าแม่ฉันไม่อยู่” “ก็แม่เธอเล่นส่งจดหมายไปหย่อนให้ถึงที่นอนฉันเลย …ยังสงสัยอยู่เลยว่า เอาไปหย่อนได้ไง” วิหันไปพึมพำประโยคสุดท้ายกับตนเอง “ช่างเถอะ ว่ากลับเกือบทุ่มแล้วถึงกี่โมง”“ก็…ก็..”“อึกอักแบบนี้ มีอะไรปิดบังแน่ๆ” วิขยับมาจ้องหน้าตรงๆ“ก..กลับถึงบ้านสองทุ่มเอง” เราหลบสาบตาของเพื่อนสาวที่จ้องอย่างคาดคั้น“นี่แอบไปช่วยสัตว์อะไรอีกล่ะ” วิถอนหายใจแล้วกลับไปเดินปกติ แต่ก็ยังเหล่สายตามามองเป็นระยะๆ“ไม่ใช้สัตว์น่ะ รอบบนี้น่ะเป็น..เป็น..” เอสชะงักในทันที แล้วชั่งใจกับตัวเองว่าจะบอกเพื่อนดีไหม แต่..“ช่างเถอะ..วันนี้เอสยังปลอดภัยก็ดีแล้ว เราจะช่วยดูแลต่อเอง” วิยิ้มละไมให้เธอแล้ว พวกเธอก็เดินเข้าโรงเรียนไปอย่างมีความสุข | |
|